Michael เขาได้มีรากฐานครอบครัวที่รักในเสียงดนตรีทำให้เขาซึมซับมาตั้งแต่ยังเด็กและมีความฝันว่าอยากเป็นเจ้าของ Console ของ SSL สักวัน และหลังจากผ่านมาหลายปี ตอนนี้เขาได้ตั้งสตูดิโอส่วนตัวขึ้นที่ลอสแอนเจลิส ซึ่งมี Controller ของ SSL เช่น UF8, UF1, UC1 และซอฟต์แวร์ 360° รวมถึง Outboard Gear ของ SSL และ Summing hardware
Badal กล่าวว่า “ผมเติบโตมาในยุคดิจิทัลและพยายามทำให้เสียงเพลงของผมเหมือนกับเพลงที่ผมฟังตอนเด็ก แต่ไม่เคยได้เสียงตามที่ต้องการ จนกระทั่งลองผิดลองถูกและฟังมากขึ้น จึงทำรู้ว่าเสียงที่ตามหาคือเสียงของ SSL มาโดยตลอด”
อุปกรณ์ชิ้นแรกของ SSL ที่ซื้อคือ G-Comp 500 Series Module “หลังจากนั้นก็ซื้อ Fusion และเริ่มเพิ่มความอิ่มของเสียงแบบ 'Vintage Drive' ของ SSL ลงในมิกซ์ของผม” เขากล่าว เมื่อ SSL เปิดตัว UF8 ที่มีแปด Fader, UC1 Plug-in Controller และ UF1 ศูนย์ควบคุม DAW “ผมก็จัดการอัปเกรด และเริ่มทำมิกซ์ของผมโดยใช้ปลั๊กอินของ SSL โดยเลือกใช้ Channel Strip 2 ที่มาจากซีรีส์ 9000 หรือ 4K B สองปลั๊กอินที่ผมใช้ประจำ เพราะมันให้เสียงที่ต่างกันมาก จากนั้นก็เพิ่มการประมวลผลแบบอนาล็อกผ่านอินเสิร์ต”
Badal เริ่มต้นในวงการตั้งแต่อายุยังน้อย ขณะที่ยังเป็นวัยรุ่น เพลงแนวแดนซ์ของเขาไปเข้าตา DJ Tiësto และไม่นานนักเขาก็ปล่อยเพลง EDM ในนามของตัวเอง รวมถึงมิกซ์และรีมิกซ์เพลงให้ศิลปินอย่าง deadmau5, Kaskade และ Timbaland หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนภาพยนตร์ที่ Cal State Northridge เขาก็เข้าสู่วงการโพสต์โปรดักชันเสียง ทำงานในโปรเจกต์ร่วมกับแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่ 740 Sound Design
จากนั้นเขาร่วมก่อตั้ง Digital Love บริษัทที่ทำเพลง การสร้างแบรนด์ด้วยเสียง และโพสต์โปรดักชันเสียง
แม้ว่า Michael Badal จะเกิดในยุคดิจิทัล แต่ในเรื่องการมิกซ์เสียง เขายังคงมีแนวทางแบบ "old school" ซึ่งใช้การฟังเสียงด้วยหูแทนการดูกราฟ EQ บนจอ “จริง ๆ แล้วมิกซ์ของผมดีขึ้นเพราะใช้ SSL 360° ผมไม่เปิดซอฟต์แวร์อื่นหรือปลั๊กอินใด ๆ เลย ผมฟังมิกซ์ไป ดู SSL 360 กับ UC1 แล้วทำการ EQ ขณะฟัง ใช้แค่หูของผม" เขาเล่าว่า เขาเลือกจะฟังเสียงมากกว่าปล่อยให้กราฟ EQ บนหน้าจอมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขา “มันทำให้มิกซ์เร็วขึ้นด้วย แค่หมุนปุ่มบน Channel และเลื่อนไปแต่ละช่อง ทำทุกอย่างด้วยมือ แทนที่จะใช้ Trackball หรือเมาส์” นอกจากนี้ เขายังใช้ฟีเจอร์ 360° Link เพื่อ Map ปลั๊กอินจากค่ายอื่นกับแพลตฟอร์มการควบคุมของ SSL ด้วย
Badal ชอบวิธีการมิกซ์แบบใช้มือและหูมานานแล้วตั้งแต่เขาเริ่มทำงานในอุตสาหกรรมนี้ “ผมเป็นคนรุ่นมิลเลนเนียล แต่ผมโตมากับการใช้ Fader และ Knob ตอนที่อนาล็อกยังเป็นเรื่องหลัก” เขาบอกว่า UF8 ทำให้เขาไม่ต้องคิดมากว่าจะตั้งค่าเสียงกลอง Kick ที่ -10 dB แต่เน้นไปที่ "เสียงที่ได้ออกมา" ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการ Pan เสียง โดยใช้ Encoder ที่อยู่บน UF8
นอกจากนี้ UF1 DAW Control Center ยังช่วยทำให้กระบวนการทำงานของ Badal รวดเร็วและราบรื่นขึ้น เหมือนกับ Console Center Section เขาบอกว่า “สิ่งที่ช่วยได้มากสำหรับ UF1 ก็คือ Jog Wheel ซึ่งผมใช้ในการ Scrub หรือหาจุดก่อนที่เสียงจะตัดไปยัง Transient แทนที่จะต้องซูมเข้าออกด้วย Trackball”
Michael Badal ได้ร่วมงานกับโปรเจกต์หนังสั้นอิสระหลายเรื่องในฐานะคอมโพสเซอร์ (Composer) แต่ตอนนี้เขากำลังมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับ Robert Duncan คอมโพสเซอร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy สี่ครั้ง ซึ่งมีผลงานเด่นอย่างซีรีส์ Castle และ Buffy the Vampire Slayer Badal บอกว่า “เราเพิ่งทำงานจบซีซั่น 4 ของ The Equalizer และตอนนี้ก็กำลังทำงานใน The Night Agent”
Duncan ได้พัฒนากระบวนการทำงานที่ช่วยให้การร่วมงานกันเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการใช้ SSL Plug-ins Badal อธิบายว่า “เขาใช้การซิงค์ไฟล์ผ่าน Dropbox แต่ทำงานจากเทมเพลตใน Logic โดยตรง แทนที่จะบันทึก Stem ออกมาแล้วเอาเข้า Pro Tools เพื่อทำการมิกซ์แล้วส่งกลับไปให้เขา ผมต้องยอมรับเลยว่าเป็นระบบที่ยอดเยี่ยมมาก”
Badal อธิบายเพิ่มเติมว่า “เขาจะ Print Stem ของเขาจาก Logic Session และ Dropbox ก็จะซิงค์ไฟล์มาให้ผมในทันที จากนั้นผมเปิด Logic Session และเนื่องจากเราได้ทำการตกลงกันเรื่องรายการ Plug-in ที่ใช้ร่วมกันไว้แล้ว เราสามารถเปิด Session ของกันและกันได้ โดยมี SSL Channel Strip 2 บนทุกแชนแนล เราไม่ได้ใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ภายนอก (Outboard Gear) ในโปรเจกต์นี้ เพราะเหตุนี้เราจึงเลือกใช้ Plug-in อย่าง Fusion และ Bus Compressor 2 บน Master ซึ่งช่วยให้เราใส่ลักษณะเสียงและโทนสีที่ได้จากฮาร์ดแวร์ลงในมิกซ์ แม้ว่าจะทำงานทั้งหมดในคอมพิวเตอร์ก็ตาม”
การทำงานแบบ Remote ในคอมพิวเตอร์ (In-the-box) ก็ดำเนินไปได้อย่างดี Badal เล่าว่า “มันเยี่ยมมาก เพราะตอนนี้ผมสามารถเดินทางไปไหนก็ได้แล้วทำงาน ผมซื้อ UC1 ตัวที่สองมาใช้ เพื่อไม่ต้องมานั่งมิกซ์ด้วย Trackpad อีกต่อไป ผมพกมันใส่กระเป๋าพร้อมกับอินเตอร์เฟซแบบพกพา ลำโพง Focal และจอพกพา ทำให้สามารถมิกซ์เสียงได้จากทุกที่จริง ๆ”
ตอนนี้ Badal ใช้เวลาประมาณครึ่งหนึ่งในการทำงานกับ Duncan ส่วนอีกครึ่งหนึ่งทำงานกับศิลปินเพลงแดนซ์ในลอสแองเจลิสชื่อ Miramar “ผมเป็นโปรดิวเซอร์และนักเขียน เราร่วมงานกันในผลงานทุกชิ้นของเขา ดังนั้นผมช่วยทั้งในขั้นตอนการเขียนเพลง โปรดิวซ์ มิกซ์ และมาสเตอร์ ผมโชคดีมากที่มีโอกาสดี ๆ เหล่านี้ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา และตอนนี้ผมยังอยู่ในวัยกลาง 30 ดังนั้นผมรู้สึกว่ายังมีอะไรที่ต้องทำอีกมาก”
เขาพูดถึงระบบ SSL Hybrid ที่เขาใช้อยู่ตอนนี้ว่าเป็นระบบที่ดีมาก แต่ยังไม่ลืมความฝันในวัยเด็กของเขา “ผมยังมีความฝันที่จะได้มิกซ์ด้วย SSL 48-channel Duality สักวันหนึ่ง”
ข้อมูลจาก :
Comentários